รัฐบาลร่วมของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี จะเสนอใช้งบกลางก้อนแรกเพื่อแก้ ปัญหาการว่างงานในอินเดีย นับเป็นการเปลี่ยนแนวทางการใช้งบประมาณของนายกรัฐมนตรี โมดี
นักวิเคราะห์แนะนำว่า รัฐบาลใหม่ควรทุ่มงบไปที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ในชนบท ที่ไม่ค่อยได้รับอานิสงส์จาก GDP ที่เติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดีย
สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ
วิกฤตการว่างงาน ผลักดันให้แรงงาน ต้องไปทำงานที่อิสราเอล
นาย รฐิน รอย (Rathin Roy) อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกล่าว “นี่เป็นมรดกของความล้มเหลวในอดีต” ในช่วง 10 ปีที่นายกรัฐมนตรี โมดี ดำรงตำแหน่ง เขาได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ไปยังโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการสร้างสะพานข้ามทะเล ทางด่วน นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดภาษีให้บรรษัทขนาดใหญ่ และโครงการเงินอุดหนุนจากภาครัฐ เพื่อจูงใจการผลิตที่เน้นการส่งออก จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นของอินเดียพุ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ความทุกข์ยากในพื้นที่ชนบท ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
นาย รอย ยังกล่าวอีกว่า ยอดรขายของ บริษัทรถยนต์ BMW ในช่วงครึ่งปี 2567 นี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ ภาพรวมของอัตราการบริโภค ต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ การจ้างงานซบเซา การออมของครัวเรือนลดลง และงานที่มีเงินเดือนสูง เป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่
เกิดความไม่สมดุลในแต่ละภูมิภาคของอินเดียอย่างชัดเจน ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกของประเทศ มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าประเทศเนปาล ด้านสุขภาพ อัตราการเสียชีวิต และความหวังในชีวิตชีวิต แย่กว่าประเทศบูร์กินาฟาโซ ในแอฟริกา
นักเศรษฐศาสตร์ 9 ใน 10 คน เห็นว่า ปัญหาการว่างงานเรื้อรัง เป็นความท้าทายที่สุด ในสมัยที่ 3 ของนายกรัฐมนตรี โมดี จากการสำรวจภายหลังการเลือกตั้ง พบว่า คนอินเดีย 7 ใน 10 คนสนับสนุนการจัดเก็บภาษีคนรวย และ 8 ใน 10 คน เชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
หลายชีวิตที่เข้าไม่ถึงการเติบโตของประเทศ
ที่เมือง มุซาฟฟาร์นากา (Muzaffarnagar) ศูนย์กลางเกษตรกรรม ในรัฐอุตตรประเทศของอินเดีย ห่างจากเมืองหลวงเดลี เพียงไม่กี่ชั่วโมง คุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ แตกต่างอย่างชัดเจนจากคนที่อาศัยอยู่ในเมือง
ครอบครัวของ ซูชิล ปาล (Sushil Pal) เกษตรกรรายหนึ่งเล่าว่า รายได้จากการทำการเกษตรในขณะนี้ แทบไม่พอกับค่าใช้จ่าย เขาไม่ได้เลือกพรรคของนาย โมดี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถึงแม้จะเคยเลือกถึง 2 ครั้งในการเลือกตั้งครั้งก่อน
เขายังเล่าอีกว่า สัญญาของนายกรัฐมนตรี โมดี ที่จะเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็น 2 เท่า ก็ยังคงเป็นแค่สัญญา รายได้ลดลง เพราะต้นทุนการเพาะปลูก และแรงงานราคาแพงขึ้น แต่พืชผลที่ผลิตไม่ได้ราคา ทางการเพิ่งเพิ่มราคารับซื้ออ้อยขึ้นเล็กน้อย ก่อนการเลือกตั้ง รายได้ทั้งหมด ก็เอาไปเป็นค่าเรียนของลูกๆ ลูกคนหนึ่งจบวิศวกร แต่ยังไม่ได้งานมา 2 ปีแล้ว
นาย ราชนีช ตีกี (Rajneesh Tyagi) เจ้าของบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออก ซึ่งมียอดขายลดลง 80% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง เพราะการแพร่ระบาดของโควิด
เขาจึงต้องการเพิ่มยอดขายจากตลาดในประเทศ เพื่อชดเชยยอดขายที่ซบเซาจากต่างประเทศ แต่ความขัดสนในชนบท ทำให้ไม่มีความต้องการสินค้า ภาคการเกษตรกรรมตกต่ำ และอีกปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ หนี้สินของเกษตรกร การว่างงาน ทำให้ผู้คนไม่มีกำลังในการซื้อสินค้าใดๆ
หน่วยงานจัดอันดับเครดิต India Ratings ประเมิณว่า กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ลักษณะเดียวกับธุรกิจของนาย ตีกี ที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจอินเดีย มีจำนวน 6.3 ล้านธุรกิจ ปิดตัวลงระหว่างปี 2558 – 2566 สูญเสียตำแหน่งงานอย่างไม่เป็นทางการถึง 16 ล้านตำแหน่ง ซึ่งงตรงกันข้ามกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน 5,000 แห่ง ที่เพิ่มขึ้นมากถึง 187% ระหว่างปี 2561 – 2566 โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการลดภาษี
การแก้ปัญหาการว่างงาน
นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Goldman Sachs ระบุว่า การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ และนำความเจริญสู่ชุมชนของอินเดีย เป็นงานที่ท้าทายที่สุดในสมัยที่ 3 ของนายกรัฐมนตรี โมดี งบประมาณก้อนแรกจะลงไปที่ การให้สวัสดิการแก่ประชาชน แทนงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ด้านธนาคาร Wall Street ระบุ อัตราการจัดสรรงบจากธนาคารกลาง ที่สูงเกินคาดที่ 0.3% ของ GDP จะทำให้รัฐบาลสามารถเพิ่มสวัสดิการ พัฒนาเศรษฐกิจชนบท และสร้างงาน
กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ASK Private Wealth แสดงความเห็นว่า การใช้งบประมาณ เพื่อลดความยากจน เป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลน่าจะทำได้ โดยไม่เสียสมดุลทางการคลัง เนื่องจากสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษี
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า การแจกเงินสด
ไม่ได้เป็นการปฏิรูปที่แท้จริง
ที่จะนำไปสู่การพัฒนา
งบประมาณควรมีวิสัยทัศน์
จะวางแผนอย่างไร
ในการนำคนหลายล้าน
เข้าสู่ตลาดแรงงาน
และสร้างศักยภาพในการหารายได้
คนอินเดียประมาณ 800 ล้านคน อาศัยอยู่ด้วยการแจกข้าวฟรี และบางรัฐ ใช้งบประมาณ เกือบ 10% ในการจัดสวัสดิการ ให้ประชาชน
นาย รอย อดีตสมาชิก สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อินเดีย ควรส่งเสริมการผลิต ที่ใช้แรงงาน อย่างการผลิตสิ่งทอ การแปรรูปอาหารการเกษตร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ภายในประเทศ
นาย รอย เสริมว่า เมื่อเรานึกถึงการผลิต เราจะคิดถึงคนร่ำรวย คิดถึงซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คิดถึงการทำให้ Apple มาลงทุนที่นี่และผลิต iPhone แต่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ประชากรอินเดีย 70% ใช้ เราควรผลิต ในสิ่งที่ประชากร 70% ต้องการใช้ หากเราสามารถผลิตเสื้อราคา 200 รูปี (2.4 ดอลลาร์, 1.8 ปอนด์) ในประเทศ และไม่ต้องนำเข้าจากบังกลาเทศ และ เวียดนาม ก็จะเป็นการกระตุ้นการผลิต การจ้างงานภายในประเทศ
สรุป ปัญหาการว่างงานในอินเดีย
- นายกรัฐมนตรี โมดี จะเสนอใช้งบกลางครั้งแรกเพื่อแก้ วิกฤตการว่างงานในอินเดีย
- ความล้มเหลวในการบริหารตลอดช่วง 10 ปี ของนายกรัฐมนตรี โมดี ที่เน้นส่งเสริมการการส่งออก ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองหลวง และชนบท
- นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การแจกเงินสด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้เป็นการปฏิรูปที่แท้จริง ควรวางแผนการใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ เพื่อนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้
ที่มา BBC




