การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้น ตัวในไตรมาส 2 ของปี 2567 ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่ 2.8% ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายที่คึกคักของผู้บริโภค จุดความหวังให้ชาวอเมริกัน
นักเศรษฐศาสตร์เคยคาดการณ์ GDP ไตรมาส 2 ที่ประมาณ 2% แต่ตัวเลขที่ประกาศ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 กลับสูงถึง 2.8 % จึงแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้น จากการชะลอตัวเมื่อต้นปี ที่ GDP เติบโตเพียง 1.4%
GDP ที่ปรับขึ้นนี้ ยังมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่คึกคักแล้ว ยังเกิดจากการลงทุนของภาคธุรกิจและการส่งออกที่เพิ่มขึ้นด้วย ในแถลงการณ์ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ระบุว่า รายงานตัวเลข GDP แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาก็แถลง เมื่อที่ 25 กรกฎาคม 2567 ว่า อัตราการเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ขยายตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตัวเลขการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงการแข่งขันหาเสียงอย่างดุเดือดนี้ ส่งผลดีอย่างมากต่อพรรคเดโมแครต ในฐานะที่เป็นรัฐบาลปัจจุบัน เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านเศรษฐกิจมากที่สุด
เจาะตัวเลข GDP ขาขึ้น
ถึงแม้ว่าการเติบโตจะดีขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังขาในเรื่องของ อัตราการว่างงานซึ่งแม้จะต่ำที่ 4.1% แต่ก็เป็นอัตราที่กำลังเพิ่มขึ้น
แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะฟื้น แต่ก็ชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว หรือเมื่อเทียบกับช่วงเปิดเศรษฐกิจใหม่หลังการระบาดของโควิด
และแม้ว่าเงินเฟ้อจะลดลง แต่ชาวอเมริกันก็ยังไม่พอใจ เนื่องจากครัวเรือนต้องแบกรับราคาสินค้าที่แพงขึ้นถึง 20% ตั้งแต่ปี 2564 รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย
นักวิชาการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จากตัวเลขเศรษฐกิจ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ มาร์ค แซนดี้ (Mark Zandi) จาก มูดีส์ (Moody) กล่าวว่า “เขารู้สึกไม่แน่ใจว่า พรรคเดโมแครต จะชนะการเลือก หากอิงจากราคาน้ำมัน และอัตราการว่างงาน จนกระทั้งประธานาธิบดี ไบเดน ถอนตัว “ผมคิดว่า การเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี ไบเดน นี้เป็นตัวเปลี่ยนเกมการเลือกตั้ง”
แต่ถ้าคำนึงถึงปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ เช่น จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะออกมาใช้สิทธิ์ ทรัมป์ ก็อาจจะชนะได้ นี่เป็นการต่อสู้ที่สูสีอย่างมาก
ศาสตราจารย์ ไมเคิล ลูอิส-เบ็ค (Michael Lewis-Beck) จากมหาวิทยาลัยไอโอวา ซึ่งเป็นที่รู้จัก จากแบบจำลองทำนายผลการเลือกตั้ง โดยอิงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความนิยมที่มีต่อประธานาธิบดี
ศาสตราจารย์ เบ็ค เห็นว่า การเติบโตในครึ่งแรกของปีนี้ ยังไม่แข็งแกร่งพอ ที่จะหักล้างการเสื่อมความนิยมของประธานาธิบดี โจ ไบเดน
แบบจำลองของศาสตราจารย์ เบ็ค เคยทำนายว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะแพ้ออย่างหวุดหวิด หากอิงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อต้นปี และเคยเตือนอีกว่า พรรคเดโมแครต จะเสียความได้เปรียบในฐานะที่เป็นพรรครัฐบาล ถ้าไม่มีชื่อประธานาธิบดีเป็นผู้ลงแข่ง
ศาสตราจารย์ เบ็ค เสริมในตอนท้ายว่า ไม่ใช่มีแค่ปัจจัยทางเศรษฐกิจเท่านั้นที่จะเป็นตัวตัดสินผลการเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ อย่างไรก็ตามการแข่งขันก็ยังคงสูสีและคาดเดายาก
นักวิเคราะห์บางส่วนกลับเห็นต่างว่า การตัดสินใจออกจากการเป็นตัวแทนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะทำให้พรรคเดโมแครตสามารถนำเสนอผลงานที่โดดเด่น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลบจุดอ่อนต่าง ๆ อย่างเช่น ปัญหาเงินเฟ้อ
แดเนียล ไดเซอรอธ (Danielle Deiseroth) ผู้อำนวยการบริษัท The progressive pollster Data for Progress แสดงความเห็นว่า ข้อดีที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส มาเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แทนประธานาธิบดี โจ ไบเดน คือ แฮร์ริส สามารถแยกตัวเองออกจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในประเด็นของเงินเฟ้อได้
รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ชูนโยบายเศรษฐกิจเรือธงของรัฐบาลที่ได้รับความนิยม ทั้งการลงทุนในถนน สะพาน เทคโนโลยีขั้นสูง และพลังงานสะอาด แฮร์ริส ระบุว่า นี่เป็นโอกาสในการตั้งต้นเศรษฐกิจใหม่
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก่อนถึงวันเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ระหว่างนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจมากนัก แต่ก็หวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เพื่อป้องกันเศรษฐกิจชะลอตัว
ผู้ที่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยกล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐจำเป็นต้องดำเนินการลดดอกเบี้ยก่อนที่ต้นทุนการกู้ยืมจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน สูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ แต่จากตัวเลข GDP ที่แข็งแกร่ง อาจทำให้เหตุผลนี้อ่อนลง
หากธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะช่วยบรรเทาภาระของครัวเรือนจากหนี้บัตรเครดิต และช่วยธุรกิจที่ต้องการกู้ยืม นั้นจะส่งผลให้พรรคเดโมแครตได้เปรียบในการเลือกตั้ง
สรุป เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้น กับทิศทางผลการเลือกตั้ง
- ตัวเลข GDP ที่เติบโตมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่คึกคัก การลงทุนของภาคธุรกิจและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
- ตัวเลขการเติบโตแม้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าปีที่แล้ว และซ่อนอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น
- ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และนโยบายเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ที่มา : BBC




