อย่ากะพริบตา ฟองสบู่พันธบัตรรัฐบาลจีน ส่งสัญญาณใกล้แตก หลังราคาพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุจากนักลงทุนมองหาทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เทตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เสียหายอย่างหนัก และตลาดหุ้นที่ผันผวน หันมาลงทุนในพันธบัตรแทน
จับตาใกล้ชิด ฟองสบู่พันธบัตรรัฐบาลจีน
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ระบุว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปี แตะระดับที่ 2.18% เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกเมื่อปี 2545 ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 20 ปี และ 30 ปี ก็อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน อัตราผลตอบแทน ของพันธบัตร ที่เสนอให้กับนักลงทุน เพื่อการถือครองลดลง เมื่อราคาพันธบัตรสูงขึ้น
ความสนใจในพันธบัตรรัฐบาลจีน ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้จุดชนวนให้เกิดการพูดถึงฟองสบู่ และสร้างความวิตกกังวลอย่างมากแก่ผู้กำหนดนโยบายของจีน ซึ่งกลัวว่าจะเกิดวิกฤติ ที่คล้ายกับการล่มสลายของธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ (SVB) เมื่อปีที่แล้ว
ธนาคารกลางจีน People’s Bank of China (PBOC) ได้ออกคำเตือนมากกว่า 10 ฉบับ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เกี่ยวกับความเสี่ยงที่ฟองสบู่พันธบัตรอาจจะแตก ทำลายเสถียรภาพของตลาดการเงิน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะนี้มีมาตรการที่ไม่เคยมีมาก่อนนั่นคือ การยืมพันธบัตรมาขายเพื่อกดราคาลง
นายพาน กงเซิง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน กล่าวในที่ประชุมทางการเงินที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2567 ว่า “บทเรียนจาก Silicon Valley Bank (SVB) ในสหรัฐอเมริกา สอนเราว่า ธนาคารกลางจำเป็นต้องสังเกต และประเมินสถานการณ์ ของตลาดการเงินจากมุมมองมหภาค”
ผู้ว่าการธนาคารกลาง กล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ธนาคารกลางจีน ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ในเรื่องการกู้หนี้ระยะสั้นมาลงทุน ในสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ และความเสี่ยง ด้านอัตราดอกเบี้ย ที่เกี่ยวกับการถือครองพันธบัตรระยะกลาง และระยะยาวจำนวนมาก โดยหน่วยงานที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้รวมถึงบริษัทประกันภัย กองทุนรวม และบริษัททางการเงินอื่นๆ”
ถอดบทเรียนจากตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกา
ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ Silicon Valley Bank (SVB) ธนาคารสหรัฐที่ล้มในช่วงวิกฤตการเงินโลก ซึ่งสาเหตุของการล่มสลาย คือ SVB ได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ Federal Reserve (Fed) เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ราคาของพันธบัตรที่ SVB ถืออยู่ก็ลดลง จนส่งผลกระทบต่อการเงินของธนาคาร
ผู้กำหนดนโยบายของจีน กลัวว่าจะเกิดวิกฤติ ในลักษณะที่คล้าย ๆ กันขึ้น หากมีการลงทุนจำนวนมหาศาลในพันธบัตรของรัฐบาลโดยไม่ได้รับการตรวจสอบและเฝ้าระวัง
ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ดันแบงก์จีนซื้อพันธบัตรเพิ่ม
ราคาพันธบัตรของจีนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2567 เนื่องจากนักลงทุนหลั่งไหล เข้าซื้อพันธบัตรมากขึ้น เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจจีนไม่มีความแน่นอน รวมทั้งภาคธุรกิจกู้เงินน้อยลง ทำให้ธนาคารมีเงินสดส่วนเกินที่ต้องหาที่พักเงินไว้ที่ไหนสักแห่ง
แลร์รี หู (Larry Hu) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีน ของบริษัทหลักทรัพย์ แมคควอรี (Macquarie Group) กล่าวว่า “ความต้องการสินเชื่ออ่อนแอลง เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ต้องซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้น”
นาย หู กล่าวเสริมว่า “แนวโน้มของภาวะเงินฝืด ครอบงำความรู้สึกในหมู่นักลงทุน จึงกระตุ้นให้พวกเขาแห่กันไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว”
หวั่นเกิด ฟองสบู่พันธบัตรรัฐบาลจีน ซ้ำรอยซิลิคอนแวลลีย์ ของสหรัฐฯ
เช่นเดียวกันกับกรณีของ SVB สถาบันการเงินของจีนได้ทุ่มลงทุนจำนวนมากในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ซึ่งทำให้มีความเสี่ยง หากเกิดการเปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยอย่างกะทันหัน
รัฐบาลจีน กังวลว่าหากฟองสบู่พันธบัตรแตก ส่งผลให้ราคาลดลง และผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ผู้ให้กู้เหล่านั้นจะประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่
นาย หู กล่าวว่า “สิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายกังวล คือ ความเสี่ยงด้าน อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนจาก ภาวะเงินฝืดเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อ”
ตามการวิเคราะห์ข้อมูล ของธนาคารกลาง โดยบริษัทหลักทรัพย์ เจ้อซาง (Zheshang Securities) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน พบว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 การซื้อสุทธิของพันธบัตรรัฐบาลโดยสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธนาคารในภูมิภาคอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านหยวน (210 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
แนะรัฐบาลจีนอัดมาตรการกระตุ้น ดันเศรษฐกิจเติบโต
อัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการของจีนอยู่ในระดับต่ำ หลังจากที่ธนาคารกลางจีนปรับลดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่แรงกดดันของภาวะเงินฝืดยังคงอยู่ โดยดูจากดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด และราคาโรงงานลดลงเป็นเดือนที่ 20 ติดต่อกัน
นาย หู กล่าวว่า “เมื่ออุปสงค์ชะลอตัวลง รัฐบาลจีนจะต้องเพิ่มมาตรการกระตุ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
“หากรัฐบาลสามารถทำสำเร็จตามนั้น นักลงทุนจะเปลี่ยนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ความต้องการสินเชื่อน่าจะเพิ่มขึ้น ธนาคารต่างๆ จะปล่อยกู้มากขึ้น ดังนั้นการถือครองหนี้ภาครัฐจึงลดลง สิ่งนี้จะทำให้ตลาดกระทิงของพันธบัตรลดความร้อนแรงลง”
นาย หู ย้ำว่า ธนาคารขนาดเล็กและขนาดกลางประมาณ 4,000 แห่งของจีนมีความเสี่ยงต่ออัตราดอกเบี้ยเป็นพิเศษ
ธนาคารกลางจีนลดอุณหภูมิความร้อนแรงของพันธบัตร
ตามรายงานสื่อของรัฐ มีสัญญาณความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นของธนาคารกลางจีน ซึ่งระบุเมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567 ว่าจะเข้าแทรกแซงตลาดตราสารหนี้ เพื่อบรรเทาความร้อนแรงในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ธนาคารกลางจะยืมพันธบัตรรัฐบาลจากผู้ค้าในตลาดเปิด และขายพันธบัตรดังกล่าวเพื่อกดราคา และเพิ่มอัตราผลตอบแทน ธนาคารกลางระบุเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจนี้ผ่านการสังเกตและการประเมินอย่างรอบคอบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาการดำเนินงานที่ดีของตลาดตราสารหนี้
เช่นเดียวกับสื่อของรัฐบาลจีน The Securities Times ก็ส่งเสียงเตือนเมื่อวันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 ถึงความเสี่ยงของฟองสบู่ตลาดตราสารหนี้ โดยอ้างถึงกรณีของ SVB และธนาคารญี่ปุ่นที่ถือครองหนี้รัฐบาลสหรัฐและยุโรปจนสูญเสียมูลค่า เมื่ออัตราผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น
The Securities Times เขียนในบทบรรณาธิการถึงสาเหตุของการล้มละลายของ SVB และ ความเสียหายครั้งใหญ่ของธนาคารโนรินชูคิน (Norinchukin) ของญี่ปุ่น ล้วนเกิดจากความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย จากการพึ่งพาการลงทุนในพันธบัตรมากเกินไป ซึ่งฟองสบู่ที่เกิดจากการหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ในขณะนี้ กำลังสะสมความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
จนถึงขณะนี้การเตือนด้วยคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่สามารถควบคุมราคาพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องแทรกแซงตลาดในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางจีนต้องการหลีกเลี่ยงวิกฤติแบบ SVB
ฟองสบู่พันธบัตรรัฐบาลจีน เป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจีนที่ลดลงอย่างรวดเร็วยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เคน เฉิง Ken Cheung ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของหลักทรัพย์ Mizuho ในฮ่องกงกล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ต่ำ ส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน
นั่นเพราะการลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกโดยรัฐบาลกลางจีน แต่การเติบโตนั้นอ่อนแอ ก่อให้เกิดกรอบความคิดของสภาวะเงินฝืดมากขึ้น
อีกประการหนึ่ง ความสนใจในตลาดตราสารหนี้อย่างมากมายนี้ อาจขัดขวางความพยายามของธนาคารกลางจีนในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเพิ่มปริมาณเงิน เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้เงินทุนยิ่งไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ แทนที่จะไปที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น หุ้น ทรัพย์สิน หรือการลงทุนอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนที่ลดลงยังมีผลให้เกิดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และของจีนห่างออกมากขึ้น ทำให้เงินไหลออกจากประเทศ และสร้างแรงกดดันให้เงินสกุลหยวน
นาย หู กล่าวทิ้งท้ายว่า เงินทุนที่ไหลออกของจีนในเดือนเมษายน 2567 แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่มกราคม 2559 สาเหตุหลักมาจากช่องว่างที่กว้างขึ้นของอัตราผลตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และจีน ดังนั้นธนาคารกลางจีนจึงไม่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยลดลงเร็วเกินไป




